พ่อแม่เด็ก16ร้องป. ตร.บ้านโป่งถีบจยย.ลูกล้มชนกำแพงดับ
อาชญากรรม
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 ม.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม และทนายความ ได้พา นายลำไพ บัวสิม อายุ 62 ปี น.ส.จารีย์ มูลมะณี อายุ 41 ปี ชาว จ.ราชบุรี บิดา-มารดา ของนายอนุชา มูลมะณี หรือ น้องวิ อายุ 16 ปี ผู้เสียชีวิต พร้อมด้วย ด.ช.เอ อายุ 14 ปี ผู้ได้รับบาดเจ็บ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สมนึก สันติภาตะนันท์ รอง ผกก.สอบสวน กก.2 บก.ป. เพื่อเข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากภายหลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านโป่ง กลับไม่มีการรับทำคดีหรือตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรณีดังกล่าว โดยนำหลักฐานเป็นภาพจากกล้งวงจรปิด มามอบให้กับทางพนักงานสอบสวนประกอบการพิจารณา
นายรณณรงค์ กล่าวว่า สำหรับการเดินทางมายังกองปราบในวันนี้ก็เพื่ออยากให้ช่วยรับทำคดีดังกล่าว เนื่องจากหลังเกิดเหตุผ่านมานานกว่า 5 เดือน ขณะนี้ทางตำรวจท้องที่ คือ สภ.บ้านโป่ง กลับยังไม่มีการรับทำคดีหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งที่ทางครอบครัวของผู้ตายและผู้บาดเจ็บพยายามร้องขอ เนื่องจากมีการยืนยันชัดเจนจาก ด.ช.เอ ผู้บาดเจ็บ ว่า ในช่วงขณะที่ไล่ติดตามจับกุมนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านโป่ง มีการใช้เท้าถีบรถ จยย. ของผู้ตาย จนรถเสียหลักประสบอุบัติเหตุดังกล่าว รวมถึงภายหลังจากเกิดเรื่องทาง สภ.บ้านโป่ง ก็ไม่ได้มีการทำตามขั้นตอนของกฎหมาย เนื่องจากไม่มีการส่งเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) มีเพียงแค่พาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องมาสาบานว่าไม่ได้ใช้เท้าถีบรถของผู้ตายแต่อย่างใด ทางครอบครัวจึงติดใจ และยังคงเก็บศพของ นายอนุชา ไว้ไม่ยอมเผามานานกว่า 5 เดือน
น.ส.จารีย์ กล่าวว่า ภายหลังเกิดเรื่องทางตำรวจ สภ.บ้านโป่ง ทำเพียงแค่ลงบันทึกว่าเสียชีวิตจากการประสบอุบัติเหตุ และยังคงยืนยันว่าไม่ได้มีการใช้เท้าถีบรถจักรยานยนต์ของลูกชาย อีกทั้งยังเคยมีการมาเจรจาไกล่เกลี่ยให้ยุติเรื่องราว 1 ครั้ง ก่อนจะเงียบหายไป ซึ่งนับจากเกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ทางครอบครัวของตนก็ยังไม่เคยได้ยินแม้แต่คำว่าขอโทษ หรือ มารับผิดชอบดูแลคนเจ็บแต่อย่างใด มีเพียงแค่เข้ามาแนะนำให้ไปทำเรื่องขอเงินชดเชยจากทาง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ โดยให้ทำทีอ้างว่า ผู้บาดเจ็บเป็นคนขับ ส่วนผู้ตายเป็นคนนั่งซ้อนท้าย เพื่อที่จะได้รับเงินชดเชยมากกว่าเดิม จาก 3 หมื่นบาท เป็นสามแสนบาท แต่ตนไม่เห็นด้วยและไม่ได้ทำตามคำแนะนำดังกล่าวแต่อย่างใด อีกทั้งลูกชายของตนก็ทำผิดเพียงแค่ดัดแปลงสภาพรถแต่งท่อเสียงดัง ไม่น่าจะกระทำการเกินกว่าเหตุจนถึงขั้นเสียชีวิตขนาดนี้เลย
ด.ช.เอ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนและนายอนุชา ได้ขี่รถ จยย. ไปซื้อน้ำปั่นที่บริเวณหน้าโรงเรียนวัดบ้านโป่ง ก่อนจะพบเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพยายามหลบหนี เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจับเรื่องท่อดัง จนมาถึงจุดเกิดเหตุตำรวจก็ได้ใช้เท้าถีบไปที่บังโคลนหลังของรถจนเสียหลักพุ่งชนกำแพง ก่อนที่ตนจะหมดสติสลบไป เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา ก่อนรวบรวมเรื่องส่งให้กับทางผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป.