'พธม.'เฮลั่น!อุทธรณ์แก้'ยกฟ้อง' คดีชุมนุมไล่'สมัคร'ปี51
อาชญากรรม
สำหรับคดีนี้ อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2558 ระบุถึงการชุมนุมขับไล่รัฐบาลลักษณะดาวกระจายนั้น พวกจำเลยใช้รถบรรทุกเป็นเวทีปราศรัยเคลื่อนที่ไปยังสถานที่ราชการหลายแห่ง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ , สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) , กระทรวงมหาดไทย , สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , กระทรวงการคลัง และสำนักงานอัยการสูงสุด ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ทำให้โรงเรียน และสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ใกล้ชุมนุมต้องหยุดการเรียนการสอนหลายครั้งเนื่องจากเกรงว่าจะไม่มีความปลอดภัยจากการชุมนุมดังกล่าว นอกจากนี้พวกจำเลยยังได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลอีกด้วยในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 25 พ.ค.- ต.ค. 2551 ซึ่งจำเลย อดีตแกนนำ พธม.ทั้ง 9 ให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี โดยศาลชั้นต้นพิพากษาไปเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2560 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 เนื่องจากเป็นการฟ้องจำเลยซ้ำกับคดี พธม.บุกรุกทำเนียบรัฐบาล หมายเลขดำ อ.4925/2555 ซึ่งศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1-6 คนละ 2 ปี อัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 7-9 นั้น ศาลเห็นว่าการกระทำเป็นความผิดฐานมั่วสุม 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 วรรคหนึ่ง แต่เห็นควรให้รอการกำหนดโทษจำเลยที่ 7-9 ไว้ก่อนมีกำหนด 2 ปี
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว พิพากษาแก้ เป็นยกฟ้องจำเลยทั้ง 9 คน โดยเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นกรณีจำเลยที่ 1-6 เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีบุกรุกทำเนียบรัฐบาล ส่วนจำเลยที่ 7-9 ก็ไม่มีความผิดฐานก่อความวุ่นวายตามมาตรา 215 ด้วย แม้โจทก์จะยกกรณีการต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ในการรื้อถอนเวทีและเต็นท์ของผู้ชุมนุม ศาลเห็นว่ากรณีดังกล่าวไม่ได้เริ่มจากผู้ชุมนุม และการตรวจค้นพบเหล็กแป๊บและขวานในพื้นที่หลังผู้ชุมนุมถอยออกไป ก็ไม่ได้ค้นจากตัวผู้ชุมนุม มีข้อสงสัยว่าไม่ใช่ของผู้ชุมนุม จึงเป็นการใช้สิทธิชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
ภายหลังศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาแล้ว นายสมเกียรติ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ว่า กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1-6 ศาลเห็นว่าฟ้องซ้ำ ส่วนแนวร่วมจำเลยที่ 7-9 ศาลเห็นว่าผิดจริงให้รอการกำหนดโทษนั้น ในวันนี้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องทุกข้อหา เพราะคำให้การของพยานระบุว่าทำตามรัฐธรรมนูญด้วยความบริสุทธิ์ใจ และศาลยังเห็นว่าการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เป็นหน้าที่ของพลเมืองด้วย จากคำพิพากษาดังกล่าวตนคิดว่า ศาลคงมีทัศนะใหม่ เนื่องจากตนขึ้นศาลมาทั้งหมด 11 คดี ครั้งแรกที่ศาลอ้างรัฐธรรมนูญ ปี 2550
ด้าน นายสุริยะใส กล่าวว่า ขอบคุณกระบวนการยุติธรรม เพราะเราเชื่อมั่นและยืนยันมาตลอดว่าพร้อมสู้ทุกคดี ไม่หนี และใช้สิทธิ์ทางศาลเต็มที่ ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรก็น้อมรับคำตัดสิน วันนี้ทำให้เห็นว่าการชุมนุมและต่อสู้มาตลอด กระทำโดยสุจริตใจ อยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลชี้ให้เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ แต่เหตุของความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากภายนอก นี่ก็เป็นพยานหลักฐานสำคัญที่นำมาต่อสู้ในทุกคดี ว่าไม่ได้ยกพวกไปตีกับใคร สุดท้ายความจริงปรากฏว่าความตั้งใจของพวกเราที่ต่อสู้เพื่อบ้านเมือง เมื่อศาลท่านเห็น และสังคมก็จะเห็นตาม ไม่ว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังมั่นใจในความสุจริต ที่ต่อสู้มาทั้งหมดเพื่อส่วนรวม.