ข่าว3ผู้ต้องหาคดียาเหตุยิงเด็กเทคโนฯ ให้การสอดคล้องตร. - kachon.com

3ผู้ต้องหาคดียาเหตุยิงเด็กเทคโนฯ ให้การสอดคล้องตร.
อาชญากรรม

photodune-2043745-college-student-s
จากกรณีตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด บก.น.4 จับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด 5 คน โดยควบคุมตัวไว้บนรถกระบะ แต่ระหว่างทางพบเจอกับกลุ่มเด็กเทคโนฯชื่อดังย่านมีนบุรี ขี่จยย.กลับจากงานเลี้ยงสังสรรค์วันคล้ายวันสถาปนาสถาบัน ก่อนจะใช้ปืนยิงเข้าใส่กลุ่มตำรวจที่คอยดูแลรถกระบะ กระสุนถูกที่หน้าขาของเจ้าหน้าที่นายหนึ่งได้รับบาดเจ็บ จนเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้น กระทั่ง นายเอกชัย บุญรัตน์ อายุ 22 ปี นักศึกษาสถาบันเทคโนชื่อดัง ชั้นปีที่ 3 คณะช่างยนต์ ถูกกระสุนของเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 12 ก.พ. พ.ต.อ.ชาญวิทย์ พุ่มโพธิ์ รอง ผบก.น.3 กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อหาฝ่ายตำรวจ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่ได้ข้อชัดเจนว่าเกิดเหตุการณ์อย่างไร ทันทีที่ได้ความชัดเจนจะพิจารณาเรียกเข้ามาแจ้งข้อหาผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ตำรวจไม่ได้เป็นผู้ต้องหาทั้งหมด เอาเฉพาะผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ใครที่เป็นผู้ยิงก็จะตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แม้จะอ้างว่าเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ก็ตาม เชื่อว่าภายใน 1-2 วันนี้จะเรียกฝ่ายตำรวจมาแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนกรณีที่ส่งตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ไปตรวจคราบเขม่าปืนนั้นต้องรอผลการตรวจจากกองพิสูจน์หลักฐานคาดว่าใช้เวลา 15 วัน ซึ่งมีการตรวจคราบเขม่าที่มือของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงผู้ตาย และได้มีการตรวจรถที่ถูกยิงด้วย ตนยืนยันว่ารถที่มาทำงานเกี่ยวกับยาเสพติดทุกคันเป็นรถส่วนตัวหมด และรถคันที่สามที่ถูกผู้ตายยิง เจ้าหน้าที่พบหัวกระสุนปืนจากในรถและยางรถหน้าด้านขวาแตก พบเป็นขนาด .38 เมื่อได้กระสุนมาก็จะนำไปตรวจเปรียบเทียบกับอาวุธปืนของผู้ตายที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ซึ่งทราบแล้วว่าอาวุธปืนที่ผู้ตายใช้ได้มาจากผู้ชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตแล้วในจ.ปทุมธานี ก็จะเรียกญาติมาสอบ แต่จากการประสานในเบื้องต้นญาติไม่ทราบว่าตัวเจ้าของปืนนั้นมีปืนหรือไม่ ซึ่งจะต้องสอบพยานต่อไปว่าปืนมาอยู่กับผู้ตายได้อย่างไร 



พ.ต.อ.ชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้การตรวจสอบกล้องวงจรปิดฝั่งเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พยายามตรวจสอบแล้วแต่ยังไม่ได้ เจ้าหน้าที่ของกทม. แจ้งว่าเสีย แต่ยังไม่มีการยืนยันมาเป็นหนังสือ ซึ่งกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ 2 ตัวขณะนี้เป็นกล้องวงจรปิดฝั่งตรงข้ามที่พอจะเห็นเหตุการณ์ค่อนข้างชัดเจน นอกจากนี้จะต้องมีการสอบปากคำพ่อผู้ตาย ทั้งนี้หากพ่อผู้ตายมีข้อสงสัยในประเด็นไหน ก็จะชี้แจงให้ฟังทั้งหมด แต่ขณะนี้หลักฐานที่ได้มาเป็นทางการยังไม่ครบถ้วน ตามระเบียบจะต้องแจ้งญาติผู้ตายถึงผลการสอบสวนอยู่แล้ว

"และจากการสอบปากคำผู้ต้องหาคดียาเสพติดที่นั่งด้านหลังกระบะมา 3 คนนั้น ให้การตรงกันกับที่ตำรวจพูด ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ต้องหาที่ถูกตำรวจจับมามักไม่พอใจตำรวจ แต่รายนี้ให้การสอดคล้องตรงกันว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร เมื่อเช้าได้เรียกประชุมทีมพนักงานสอบสวน เพื่อแบ่งหน้าที่กันทำงานว่าใครทำอะไร เพราะหลักฐานมีเยอะ และตัวผู้ช่วยพนักงานอีกคนก็ถูกยิงเข้าที่ขา 2 นัด ขณะนี้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล จึงได้ประสานแพทย์ขอผ่าหัวกระสุนเพื่อนำไปส่งตรวจว่าถูกยิงมาจากอาวุธปืนที่ผู้ตายใช้ยิงหรือไม่ เบื้องต้นยืนยันแล้วว่าเป็นหัวกระสุน .38 ซึ่งตรงกับอาวุธปืนที่ผู้ตายใช้ ส่วนหัวกระสุนปืนในร่างผู้ตายจะนำไปเปรียบเทียบกับอาวุธปืนของตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุทั้งหมด"  



พ.ต.อ.ชาญวิทย์ กล่าวต่ออีกว่า เป็นเรื่องปกติที่ฝ่ายเสียหายฝั่งผู้ตายจะรู้สึกขัดแย้งเราถึงพยายามสอบสวนให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยตำรวจจะแบ่งสำนวนออกเป็น 3 สำนวน คือ 1.สำนวนการชันสูตรพลิกศพ 2.สำนวนผู้ตายต้องหาว่าพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง 3.สำนวนที่ตำรวจตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยอ้างว่าปฏิบัติตามหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ได้รับคำร้องทุกข์ทั้ง 3 สำนวนไว้แล้ว อยู่ในขั้นตอนของการแจ้งข้อกล่าวหา