คดี'เปรมชัย'ยังไม่จบ! จ่อส่งไม้ต่อ'อัยการศาลสูงภาค7'
อาชญากรรม
โดยหลังจากศาลมีคำพิพากษาตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว หากคู่ความฝ่ายใดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพนักงานอัยการหรือฝ่ายจำเลยทั้งสี่ ไม่พอใจในผลคำพิพากษาของศาล ก็สามารถที่จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ภายในกำหนดระยะเวลา 1 เดือน แต่หากการจัดเตรียมเอกสารในการยื่นอุทธรณ์ยังไม่แล้วเสร็จภายในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ก็ยังสามารถยื่นขอขยายคำอุทธรณ์ได้
นายประยุทธ กล่าวอีกว่า ภารกิจของสำนักงานอัยการสูงสุดต่อจากนี้ ในเรื่องการพิจารณาอุทธรณ์คดีนั้น ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดี อาญาในชั้นศาลสูง กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตัดสินของศาลชั้นต้นแล้ว ถ้อยคำสำนวนรวมทั้งคำพิพากษาทั้งหมดจะถูกส่งไปให้อธิบดีอัยการศาลสูงภาค 7 ซึ่งจะมีทีมงานของอัยการศาลสูงภาค 7 พิจารณารายละเอียดคดีทั้งหมดอีกครั้งหนึ่งว่า การที่ศาลตัดสินเช่นนี้อัยการศาลสูงภาค 7 จะมีความเห็นด้วยหรือเห็นต่างอย่างไร ถ้าเห็นด้วยกับผลคำพิพากษาดังกล่าว ก็จะไม่ยื่นอุทธรณ์ หากเห็นต่างก็จะต้องสรุปประเด็นที่เห็นต่างเพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกฟ้องจำเลยบางคนในบางข้อหา หรืออัตราโทษที่พิพากษาไปแล้วมีความหนักเบามากน้อยแค่ไหนอย่างไร ควรจะลงโทษเพิ่มขึ้นมากกว่านี้หรือไม่ ทั้งหมดจะเป็นดุลพินิจของคณะอัยการศาลสูงภาค 7 ที่กำกับดูแลโดยอธิบดีอัยการสำนักงานศาลสูงภาค 7
"เมื่อศาลตัดสินวันนี้แล้ว ภารกิจของคณะทำงานอัยการทองผาภูมิ โดย นายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานก็ดี จะเสร็จภารกิจทั้งหมด จากนั้นจะถูกส่งต่อให้กับ อัยการคดีศาลสูงภาค 7 เสมือนกับทางศาลยุติธรรม ถ้าศาลชั้นต้นตัดสินอย่างไร ตัดสินแล้วก็ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจ หากคู่ความฝ่ายใดยื่นอุทธรณ์ ฎีกาตามขั้นตอนกฎหมาย ก็จะต้องส่งต่อให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิจารณาต่อไป ซึ่งเป็นลักษณะของการออกแบบของกระบวนการยุติธรรมที่ถ่วงดุลกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความเป็นธรรม ดังนั้น ตรงนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นการดำเนินคดีไม่ต่อเนื่องหรือขาดตอน เพราะเหตุผลที่กระบวนการยุติธรรมออกแบบมาเช่นนี้ ก็ต้องการให้คณะอัยการศาลสูงก็ดี และผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ดี เป็นผู้ไปกำกับการปฏิบัติหน้าที่ภารกิจของส่วนนั้นว่าเป็นไปตามข้อเท็จจริงทางคดีหรือไม่ และเป็นไปตามข้อกฎหมายที่บัญญัติไว้หรือไม่ และจะใช้ดุลพินิจในลักษณะถ่วงดุล เพราะคณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือคณะอัยการที่อยู่ศาลสูง จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางคดีมากกว่าศาลชั้นต้น ดังนั้นอยากจะเรียนให้ความมั่นใจกับสังคมว่า กระบวนการยุติธรรมก็จะต้องดูทุกมิติทุกขั้นตอน" รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าว
เมื่อถามว่าอัตราโทษที่ศาลพิพากษาลงโทษนี้ถือว่าเป็นอัตราโทษสูงสุดตามบทกฎหมายในแต่ละข้อหาแล้วหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า โทษที่ลงมานั้นไม่เต็มที่ในอัตราสูงสุดตามบทบัญญัติกฎหมายที่กำหนดไว้ ถือเป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาลงโทษ ว่าควรจะลงโทษแค่ไหนเพียงใด แต่เมื่อกระบวนการเข้าสู่การพิจารณาของคณะอัยการศาลสูงก็จะพิจารณาต่อไปว่าโทษที่ผู้พิพากษาลงโทษมานั้นเหมาะสมแล้วหรือยังรวมทั้งข้อหาที่ยกนั้นเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นประเด็นที่พิจารณาต่อไปว่าจะอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ ส่วนคดีนี้จะพิจารณาถึงชั้นฎีกาหรือไม่ขณะนี้ไม่สามารถให้คำตอบได้ต้องรอดูการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ก่อน.
อ่าวข่าวคดีฆ่าเสือดำได้ทั้งหมดที่นี่