ยกฟ้อง'อัจฉริยะ'คดีโกงเงิน11ล. ชี้พยานน้ำหนักไม่พอ
อาชญากรรม
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์เเล้ว ในขั้นตอนการเบิกเงินคุ้มครองสิทธิ จำเลยที่1-2 ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามขอบเขต เเละระเบียบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ โดยมีหลักฐานเป็นเอกสารการปรึกษาขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินคุ้มครองดังกล่าว ต่อคณะกรรมการ ปปง.เเละเอกสารตอบโต้กับธนาคาร เเละมีการดำเนินงานโดยเปิดเผย ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1-2 รับส่วนเเบ่งเงินคุ้มครองสิทธิจากจำเลยที่ 5-6 ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีฉัอโกงที่มีการฟ้องโจทก์ โดยมีการกล่าวอ้างพยานโจทก์เป็นเทปบันทึกเสียงโทรศัพย์เเละข้อความในไลน์กับจำเลยที่ 6 เรื่องการกันเงินไว้ใช้เอง ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ดังกล่าวไม่ใช่ผู้ที่รับรู้เหตุการณ์โดยตรงหรือประจักษ์พยานถือเป็นเพียงพยานบอกเล่า อีกทั้งเทปบันทึกเเละข้อความในไลน์ที่กล่าวอ้างเป็นพยานก็ไม่ได้มีการตรวจสอบ เเละเซ็นรับรองจากผู้เชี่ยวชาญทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงไม่ใช่พยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่1-2กระทำผิดตามฟ้อง เเละเมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1-2 มีความผิดตามวินิจฉัย จำเลยที่ 4-7 จึงไม่อาจร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นพิพากษายกฟ้อง
ด้านนายอัจฉริยะ กล่าวว่า เราต่อสู้คดีนี้มาตั้งแต่ปี 2558 มาวันนี้ศาลได้พิพากษายกฟ้อง เราจึงเป็นผู้บริสุทธิ์ ตนขอขอบคุณศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ให้ความเป็นธรรมกับพวกเรา โดยคดีนี้เป็นการพิจารณาเรื่องเบิกเงินจากการคุ้มครองสิทธิ์ของผู้เสียหายแล้วไปแบ่งกับตำรวจ บก.ป. ซึ่งเรายืนยันมาตลอดว่าไม่มีพฤติการณ์กระทำผิด และไม่ได้เอาเงินที่เบิกเกินมาแบ่งกัน เพราะตอนที่เบิกเงิน เป็นการทำตามมติของคณะกรรมการธุรกรรมของปปง.ที่มีหนังสือแจ้งคุ้มครองสิทธิ์ของผู้เสียหาย 2 บัญชี ซึ่งตำรวจ บก.ป.ก็ทำตามขั้นตอนตามกฎหมายและมีการหารือระหว่างบก.ป. ธนาคาร และปปง. โดยวันที่ไปรับเช็คก็เป็นผู้เสียหายไปรับ.