พ่อเลี้ยงโหดฆ่าลูกเลี้ยงลั่น"ขอชดใช้1ชีวิตแลกกับ2ชีวิต"
อาชญากรรม
พ.ต.อ.สิงห์ กล่าวว่า การจำลองเหตุการณ์เป็นความสมัครใจของผู้ต้องหา โดยหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่นำตัวออกมาจากรพ.นพรัตน์ หลังสอบปากคำเสร็จผู้ต้องหานอนหลับสนิทหลังจากไม่ได้หลับนอนเนื่องจากหนีการตามล่าของเจ้าหน้าที่ และญาติของผู้ตายมาหลายวัน จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การ อ้างว่าเริ่มจากตะโกนเรียกผู้เสียตายให้เปิดห้องโดยอ้างว่าจะยืมเงิน 2,000 บาท เมื่อผู้ตายเปิดประตูจึงใช้ค้อนที่เตรียมากระหน่ำตีผู้ตายจำนวนหลายครั้ง โดยเริ่มที่บริเวณศรีษะก่อนผู้ตายพยายามยกมือป้องกันจึงทุบที่ลำตัวจนหัวค้อนหลุดออกจากด้ามจับแล้วผู้ตายก็แน่นิ่งไป ส่วนสาเหตุเกิดจากไม่พอใจมารดาของผู้ตายที่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ อย่างไรก็ตามเนื่องจากผู้ต้องหามีอาการเครียด และให้การว่าเคยพยายามฆ่าตัวตายมา 2 ครั้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดให้มีการควบคุมอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันการทำร้ายตัวเอง จากการตรวจสอบไม่พบว่าเคยมีประวัติอาชญกรรมหรือเสพยาเสพติดมาก่อน ทางพนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (5) ต้องระวางโทษประหารชีวิต เพราะพบพฤติกรรมของผู้ต้องหาจากการตรวจพิสูจน์หลักฐานพบมีร่องรอยการทำร้ายบริเวณท้อง ลำตัว และศีรษะ กับหญิงที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ ในวันที่ 15 เม.ย. จะนำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดมีนบุรี
ด้าน น.ส.ว่านไพลิน หอมวัชระ ทนายความอาสาของผู้ต้องหา กล่าวว่าคดีนี้มีอัตราโทษถึงประหารชีวิต ตามกฎหมายแล้วผู้ต้องหาจะต้องมีทนายความไม่ว่าจะร้องขอหรือไม่ก็ตาม โดยจากการพูดคุยผู้ต้องหามีอาการเครียด ระหว่างที่ให้คำปรึกษาด้านคดีตัวผู้ต้องหาก็ได้เเจ้งกับตนหลายครั้งว่าจะมีวิธีไหน หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ศาลพิพากษาประหารชีวิต เนื่องจากเขาสำนึกผิดต่อการกระทำทุกอย่างจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ ระหว่างหลบหนีก็พยายามฆ่าตัวตายถึงสองครั้ง ครั้งแรกที่ห้องเช่ารายวันผู้ต้องหาพยายามใช้ไฟฟ้าช็อตตัวเองแต่ไฟตัดจึงไม่สำเร็จกระทั่งกินยาเบื่อหนูแต่หมอก็ช่วยไว้ทัน เขาอยากจะขอโทษญาติ เเละขอให้อโหสิกรรม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสองสวนได้เบิกตัวนายภูมใจ มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพโดยจำลองเหตุการณ์บนห้องวิทยุชั้น 2 ของสน.คันนายาว และปิดประตูไม่อนุญาติให้สื่อเข้าไปเก็บภาพ โดยใช้เวลาทำแผนประมาณ 10 นาที ก่อนจะนำตัวกลับเข้าห้องขังตามเดิม ระหว่างนั้นนายภูมใจ เปิดเผยกับสื่อผ่านห้องขังว่า “อยากจะบอกผ่านสื่อไปถึงญาติของผู้เสียชีวิตว่า ตนเองรู้สึกสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป ยอมรับว่าตอนนั้นโมโหขาดสติ เพราะตนรักแม่ของผู้ตายมาก จนลืมนึกไปว่าผู้ตายตั้งครรภ์อยู่ เชื่อว่าสิ่งที่ตนเองพูดไปคงไม่สามารถเปลี่ยนใจญาติคนตายได้ จึงอยากจะขออโหสิกรรมกับสิ่งที่ทำลงไป และอยากขอศาลหรือกระบวนการยุติธรรมให้ตัดสินประหารชีวิต หาก 1 ชีวิต แลกกับ 2 ชีวิตได้ก็ยอม”.