ข่าวตร.โต้ฝรั่งเมืองผู้ดีฟ้องสื่อ ยัดข้อหา-จับโกนผมเดรดล็อค - kachon.com

ตร.โต้ฝรั่งเมืองผู้ดีฟ้องสื่อ ยัดข้อหา-จับโกนผมเดรดล็อค
อาชญากรรม

photodune-2043745-college-student-s

จากกรณีสื่อมวลชนประเทศอังกฤษ นำเสนอข่าวทำนองว่า นายคริส ด็อดด์ อายุ 29 ปี นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ถูกจับกุมเพราะไปเก็บโทรศัพท์มือถือ ที่หล่นอยู่บนพื้นถนนนอกสนามบินเชียงใหม่ และตั้งใจจะนำส่งคืนเจ้าของ แต่ยังไม่ทันทำตามที่ตั้งใจ กลับถูกยัดเยียดข้อหาว่าลักทรัพย์เสียก่อน และยังโดนบังคับจับตัดผมทรงเดรดล็อค ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตร. กล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ.62 เวลาประมาณ 20.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้รับแจ้งจากนักท่องเที่ยวหญิงชาวเยอรมันว่า ทำโทรศัพท์มือถือสูญหาย จึงทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิด 

ภายหลัง พบชายชาวต่างชาติ ผมสีทอง ไว้ผมยาวทรงเดรดล็อค สวมหมวกสีขาว เสื้อยืดแขนยาวสีเทา กางเกงขายาวสีดำ เป็นคนหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ตกพื้นภายในอาคารผู้โดยสารไป ต่อมาพบว่าชายคนดังกล่าวขึ้นรถตู้โดยสารออกไปจากท่าอากาศยานเชียงใหม่ โดยไม่ยอมนำโทรศัพท์ที่พบส่งคืนเจ้าหน้าที่ จนกระทั่งสามารถติดตามตัวได้ที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งใน ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ทราบชื่อ นายคริสโตเฟอร์ เมอร์รี ด็อดด์ อายุ 29 ปี ชาวอังกฤษ สอบสวนให้การยอมรับว่าหยิบโทรศัพท์มือถือไปจริง พอเจ้าหน้าที่ตรวจดูโทรศัพท์กลับพบว่ามีการถอดเอาซิมการ์ดออกแล้ว ทั้งยังเปลี่ยนแปลงรหัสผ่านและเปลี่ยนภาษาของเครื่อง พร้อมทั้งลบข้อมูลเก่าในโทรศัพท์อีกด้วย จึงมีพฤติการณ์เข้าข่ายตั้งใจนำโทรศัพท์ที่ตกอยู่มาใช้งานเป็นของตนเอง เป็นความผิดฐาน "ลักทรัพย์ในท่าอากาศยาน" นำตัวส่งดำเนินคดียัง สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ทันที

สำหรับประเด็นการตัดผมนั้น เมื่อวันที่ 28 ก.พ.62 พนักงานสอบสวน ได้นำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ และถูกส่งตัวไปยังเรือนจำจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก็ต้องทำตามระเบียบของราชทัณฑ์ คือตัดผมสั้นเหมือนผู้ต้องขังรายอื่น ๆ ภายหลังได้รับแจ้งว่า ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว เมื่อ 11 มี.ค.62  ที่ผ่านมา จึงขอเรียนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชนและหลักกฎหมาย หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับความเสียหาย เสื่อมชื่อเสียง  หรือถูกดูหมิ่นหรือเกลียดชัง จากการให้สัมภาษณ์และนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จดังกล่าว ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายในความผิดที่เกี่ยวข้องต่อไป.