ข่าวนักธุรกิจดังหวั่นไม่ปลอดภัย ร้องดีเอสไอคุ้มครองพยาน! - kachon.com

นักธุรกิจดังหวั่นไม่ปลอดภัย ร้องดีเอสไอคุ้มครองพยาน!
อาชญากรรม

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายพินิจ รุจิรวนิช นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทนายยื่นคำร้องขอเข้ารับการคุ้มครองพยาน และนำหลักฐานสำคัญเพิ่มเติมในคดีลอบสังหาร ร.ต.อ วัชรินทร์ เบญจทศวรรษ มอบให้ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้รับเรื่อง

นายพินิจ กล่าวว่า ตนยื่นคำร้องเพื่อขอเข้ารับการคุ้มครองพยานจากดีเอสไอ เพราะหลังจาก ร.ต.อ.วัชรินทร์ เสียชีวิตตนมีความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย เนื่องจากที่ผ่านมาร.ต.อ.วัชรินทร์เคยให้รับความช่วยเหลือด้านกฎหมายและคำแนะนำในการสู้คดีที่ถูกฟ้องร้องจากอดีตภรรยาและบุคคลใกล้ชิดถึง 20 คดี บางคดีพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสั่งฟ้อง บางคดีต้องเดินทางไปขึ้นศาล แต่ปรากฏว่ามีผู้ขับรถตามตลอดระหว่างที่เดินทางไปกลับบ้านและขึ้นศาล เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งกับตนเอง ทีมงานและทนายความส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งที่ผ่านตนไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งกับใครนอกจากอดีตภรรยาและพ.ต.อ.คนหนึ่งที่มีปัญหาการฟ้องร้องการยักยอกที่ดินสมรสมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท  แม้ขณะนี้ศาลได้มีคำสั่งจำคุกอดีตภรรยาเป็นเวลา 2 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท แต่ให้รอลงอาญา ส่วนพ.ต.อ.คนดังกล่าวศาลมีคำสั่งให้จำคุก 1 เดือน ไม่รอลงอาญา แต่ก็ได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดีแล้ว

นายพินิจ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ตนมีความกังวลในเรื่องคดีความมาก เพราะขาดเสาหลักในการช่วยเหลือ ยอมรับว่าที่ผ่านมาคำแนะนำจาก ร.ต.อ.วัชรินทร์ ทั้งการเก็บหลักฐาน เอกสารพยานเพื่อนำมาต่อสู้ในชั้นพนักงานสอบสวนและในชั้นศาลเป็นประโยชน์ต่อคดีอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตนและครอบครัวมาก จึงอยากขอความช่วยเหลือเพราะคู่กรณีเป็นผู้มีอิทธิพล


ด้านพ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ญาติและครอบครัวของร.ต.อ.วัชรินทร์ ได้เข้ามาขอให้ดีเอสไอคุ้มครองพยานแล้ว ส่วนหลักฐานสำคัญที่ทางทนายและคำร้องที่นายพินิจยื่นเข้ามาก็จะรับดำเนินการให้ สำหรับคดีดังกล่าวขณะนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอและศูนย์ปฎิบัติการพิเศษภาคจ.สงขลา อยู่ระหว่างการลงพื้นที่เก็บข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนการคุ้มครองพยานไม่สามารถชี้แจงกับสาธารณะได้ว่า ให้หรือไม่ให้เพราะเจ้าหน้าที่จะแจ้งโดยตรงกับครอบครัวหรือผู้ร้องรอ เพราะถือเป็นความลับ ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาคุ้มครองพยานจะใช้ดุลยพินิจสั่งการลงมา ในส่วนของหลักฐานสำคัญที่นำมามอบให้นั้นดีเอสไอจะนำไปประกอบสำนวนการสืบสวนต่อไป

“ขณะนี้คดีดังกล่าวยังถือเป็นคดีปกติที่อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ แต่ดีเอสไอก็ได้ส่งพนักงานสอบสวนลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ส่วนจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ขึ้นอยู่การรวบรวมพยานหลักฐานว่าคดีมีความซับซ้อนหรือเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลหรือไม่อย่างไร สุดท้ายหากมีการเสนอมาก็ต้องขั้นอยู่กับมติของคณะกรรมการคดีพิเศษ” รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าว