ข่าวประกันภัยจ่ายอ่วม100ล้าน ไฟไหม้ตลาดหลักทรัพย์ปี53 - kachon.com

ประกันภัยจ่ายอ่วม100ล้าน ไฟไหม้ตลาดหลักทรัพย์ปี53
อาชญากรรม

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หมายเลขดำ 8132/2561 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย,บริษัทศูนย์รับฝากทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด,บริษัทแฟมิลี่ โนฮาว จำกัด โจทก์ที่ 1-3 ยื่นฟ้อง บริษัทนิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์, บริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัทฟอลคอลประกันภัย จำกัด(มหาชน),บริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน),บริษัทเทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน),บริษัทเมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1-6 ในเรื่องประกันภัย


โจกท์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามทำสัญญาประกันภัยทรัพย์สินที่อยู่ภายในอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไว้ต่อจำเลยทั้งหก คุ้มครองการเสี่ยงภัยทุกชนิด จำนวนเงินเอาประกันภัยรวม 3,474,408,510.33 บาท ระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.2553 ถึงวันที่ 31 ม.ค.2554 โดยจำเลยทั้งหกแบ่งสัดส่วนการรับประกันภัยดังนี้ จำเลยที่ 1 ร้อยละ 30 จำเลยที่ 2 ร้อยละ 20 จำเลยที่ 3 ร้อยละ 15 จำเลยที่ 4 ร้อยละ 15 จำเลยที่ 5 ร้อยละ 10 และจำเลยที่ 6 ร้อยละ 10 ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 มีกลุ่มบุคคลไม่ทราบจำนวนบุกเข้าทุบทำลายและวางเพลิงเผาอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายจากการทุบทำลาย เพลิงไหม้ น้ำที่ใช้ดับเพลิงจากอุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ โดยโจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหาย 94,107,577.53 บาท โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหาย 380,059 บาท และโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหาย 14,568,504.27 บาท

โจทก์ทั้งสามแจ้งความเสียหายให้จำเลยทั้งหกทราบและแจ้งว่าจะดำเนินการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นตามความจำเป็นและประโยชน์ของการใช้งาน แต่จำเลยทั้งหกส่งบุคคลผู้มีชื่อสำรวจและประเมินความเสียหายแล้วมีหนังสือแจ้งปฏิเสธความรับผิด เป็นการโต้แย้งสิทธิทำให้โจทก์ทั้งสามเสียหาย โจทก์ทั้งสามบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งหกรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่จำเลยทั้งหกเพิกเฉยไม่ชำระ โดยอ้างว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากการก่อความไม่สงบของประชาชนที่ถึงขนาดลุกฮือต่อต้านรัฐบาลและเป็นการก่อการร้ายเข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย และโจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษายืน โจทก์ทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า ความเสียหายต่อทรัพย์สินตามฟ้องเป็นผลมาจากมีกลุ่มบุคคลบุกรุกเข้าไปในอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และก่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคาร จนทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสามที่อยู่ภายในอาคารและตัวอาคารดังกล่าวได้รับความเสียหาย ความเสียหายดังกล่าวจึงเป็นภัยที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้และการกระทำด้วยเจตนาร้าย ซึ่งเป็นภัยที่อยู่ภายใต้ความ คุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ขณะที่ทางนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เหตุเพลิงไหม้อาคารเกิดขึ้นตอน 15.00 น. ภายหลังแกนนำประกาศยุติชุมนุมตอน 13.00 น. ตลอดจนผู้ก่อเหตุทุบทำลายและเผาอาคาร ก็มีประมาณ 10 คน ทั้งเป็นกลุ่มบุคคลที่ปิดบังอำพรางใบหน้า และกลุ่มที่ทำในลักษณะมีเจตนาก่อเหตุร้ายแล้วหลบหนีไปทันที โดยไม่มีประชาชนอื่นใดร่วมกระทำการ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งหกไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังว่าเหตุเพลิงไหม้ตามฟ้องเป็นผลมาจากการก่อความไม่สงบของประชาชนที่ลุกฮือต่อต้านรัฐบาล และเป็นการก่อการร้ายเพื่อหวังผลทางการเมืองตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งหก ดังนั้นจำเลยทั้งหกจึงไม่อาจอ้างข้อยกเว้นความรับผิดชอบตามกรมธรรม์ประกันความสี่ยงภัยทรัพย์สิน

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคก็มีอำนาจกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์ จึงเห็นควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 89 ล้านบาท ส่วนโจทก์ที่ 2 ที่เรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 8 ชุด ซึ่งเป็นความเสียหายที่ไม่อยู่ในความคุ้มครองตามกรมธรรม์ฯ ส่วนค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนผ้าหุ้มเก้าอี้พนักงาน จำนวน 13,209 บาท ก็ไม่มีหลักฐานการชำระเงิน คงมีเฉพาะส่วนที่จำเลยทั้งหกได้นำสืบยอมรับค่าเสียหายของโจทก์ที่ 2 มีเพียง 50,414 บาท ดังนั้นศาลจึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 57,500 บาท ส่วนโจทก์ที่ 3 ศาลเห็นควรกำหนดค่าเสียหายจำนวน 9 ล้านบาท

และเมื่อปรากฏว่าหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้อาคาร พวกโจทก์ได้มีหนังสือเรียกร้องค่าสินไหม และหนังสือแจ้งปรับปรุงข้อมูลความเสียหายให้จำเลยทั้งหกชำระ แต่พวกจำเลยมีหนังสือแจ้งปฏิเสธความรับผิด โจทก์ทั้งสามขอให้บังคับจำเลยทั้งหกรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย มิใช่ผู้กระทำละเมิด เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2554 จึงถือว่าจำเลยทั้งหกผิดนัดชำระตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 2554 จึงต้องได้รับดอกเบี้ยตั้งแต่วันดังกล่าว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามมานั้น ศาลฎีกาฯ ไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 26,700,000 บาท จำเลยที่ 2 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 17,800,000 บาท จำเลยที่ 3 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 13,350,000 บาท จำเลยที่ 4 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 13,350,000 บาท จำเลยที่ 5 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 9,8000,000 บาท และจำเลยที่ 6 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 8,900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ม.ค. 2554 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1

ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 17,250 บาท จำเลยที่ 2 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 11,500 บาท จำเลยที่ 3 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 8,625 บาท จำเลยที่ 4 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 8,625 บาท จำเลยที่ 5 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 5,750 บาท และจำเลยที่ 6 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 5,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ม.ค. 2554 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 2

ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 2,700,000 บาท จำเลยที่ 2 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 1,800,000 บาท จำเลยที่ 3 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 1,350,000 บาท จำเลยที่ 4 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 1,350,000 บาท จำเลยที่ 5 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 900,000 บาท และจำเลยที่ 6 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ม.ค. 2554 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 3