ศาลมีคำสั่งตั้ง"ธีรวัต" เป็นผู้จัดการมรดก"ณ ป้อมเพชร"
อาชญากรรม
Webmaster
2019-05-01 17:10:00
67
Webmaster
2019-05-01 17:10:00
67
-
สนับสนุนเนื่อหา
เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นัดฟังคำสั่งเรื่องจัดการมรดก ณ ป้อมเพชร คดีดำ พ.3512/2559 ที่นายธีรวัต ณ ป้อมเพชร ผู้ร้อง ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ นายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร อดีตเอกอัครราชทูต (ผู้ตาย) ที่ยื่นคำร้องเมื่อปี 59 ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้ง นายธีรวัต เป็นผู้จัดการมรดก โดยมีนายศักดิ์ชัย กาย อดีตบรรณาธิการนิตยสารดังและนักจัดดอกไม้ชื่อดัง ที่อ้างว่านายวิวรรธน์เคยมีพินัยกรรมระบุยกที่ดินมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทให้ด้วย เป็นผู้คัดค้านคำร้องของนายธีรวัต โดยศาลได้รับฟ้อง เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 59 และได้มีการกำหนดไต่สวนคำร้องมาตั้งแต่ ต.ค. 59
โดยศาลพิเคราะห์ที่ได้จากการไต่สวนคำร้องแล้วแล้วจึงมีคำสั่งตั้ง นายธีรวัต บุตรโดยชอบธรรมของนายวิวรรธน์ เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 โดยให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย โดยให้ยกคำร้องคัดค้านของนายศักดิ์ชัย กาย และให้นายศักดิ์ชัย ชำระค่าทนายความเป็นเงิน 30,000 บาท กับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้กับนายธีรวัตอีก 10,000 บาทด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีพิพาทเรื่องมรดกของนายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร ระหว่างทายาทกับนายศักดิ์ชัยนั้น มีทั้งคดีอาญาฐานเบิกความเท็จต่อศาลและใช้เอกสารปลอม ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้องนายศักดิ์ชัย กับคดีแพ่งที่นายธีรวัต ขอให้ศาลเพิกถอนพินัยกรรมและทำลายพินัยกรรมที่นายศักดิ์ชายอ้างถึงหนังสือฉบับหนึ่ง ว่าเป็นพินัยกรรมของนายวิวรรธน์ ยกที่ดิน อาคารชุดมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท โดยในคดีแพ่งนั้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาไปแล้วว่า ไม่น่าเชื่อว่าลายมือในพินัยกรรมเป็นของนายวิวรรธน์ ดังนั้นศาลฎีกาจึงตัดสินให้พินัยกรรมฉบับที่นายศักดิ์ชัยอ้างเป็นโมฆะ.
โดยศาลพิเคราะห์ที่ได้จากการไต่สวนคำร้องแล้วแล้วจึงมีคำสั่งตั้ง นายธีรวัต บุตรโดยชอบธรรมของนายวิวรรธน์ เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 โดยให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย โดยให้ยกคำร้องคัดค้านของนายศักดิ์ชัย กาย และให้นายศักดิ์ชัย ชำระค่าทนายความเป็นเงิน 30,000 บาท กับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้กับนายธีรวัตอีก 10,000 บาทด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีพิพาทเรื่องมรดกของนายวิวรรธน์ ณ ป้อมเพชร ระหว่างทายาทกับนายศักดิ์ชัยนั้น มีทั้งคดีอาญาฐานเบิกความเท็จต่อศาลและใช้เอกสารปลอม ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้องนายศักดิ์ชัย กับคดีแพ่งที่นายธีรวัต ขอให้ศาลเพิกถอนพินัยกรรมและทำลายพินัยกรรมที่นายศักดิ์ชายอ้างถึงหนังสือฉบับหนึ่ง ว่าเป็นพินัยกรรมของนายวิวรรธน์ ยกที่ดิน อาคารชุดมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท โดยในคดีแพ่งนั้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาไปแล้วว่า ไม่น่าเชื่อว่าลายมือในพินัยกรรมเป็นของนายวิวรรธน์ ดังนั้นศาลฎีกาจึงตัดสินให้พินัยกรรมฉบับที่นายศักดิ์ชัยอ้างเป็นโมฆะ.
