จับพิรุธ'ซีอุย'ไม่เคยกินตับเด็ก '60ปี'ที่ถูกหลอกเป็นแพะ
อาชญากรรม
กรณี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลกำลังรวบรวมข้อเท็จจริงคดี นายซีอุย แซ่อึ้ง ทหารหนีทัพชาวจีนโพ้นทะเลที่ถูกตำรวจไทยจับกุมเมื่อวันที่ 27 ม.ค.2501ขณะกำลังเผาศพด.ช.สมบุญ บุญยกาญจน์ ไม่ทราบอายุแน่ชัดในสวนยางพาราต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อทำลายหลักฐานฆ่าชำแหละศพขโมยตับและหัวใจ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำนายซีอุยมาราธอนเกือบ100ชม.จนได้คำสารภาพเป็นคนร้ายชำแหละศพขโมยเครื่องในด.ญ.ซิ่วจู แซ่ตั้ง วัย5 ขวบเมื่อวันที่ 5 ก.พ.2500 ในถ้ำองค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม และด.ญ.ลี่จูแซ่ตั้ง วัย 5 ขวบเมื่อวันที่28 พ.ย.2497 บริเวณสถานีรถไฟสวนจิตรลดากทม. รวมทั้งคดีเชือดคอฆ่าด.ญ.10 ปี คดีข่มขืนเชือดคอฆ่าด.ญ.9 ปี คดีฆ่าชำแหละศพขโมยเครื่องในด.ญ.10ปีและคดีใช้มีดแทงคอด.ญ. 8 ขวบในปีเดียวกันที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่เหยื่อแกล้งตายจึงรอดชีวิตมาให้การคนร้ายคือพี่ชายสติไม่ดีของเมียปลัดอำเภอผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ยุคนั้น ทำให้โลกโซเชียลมีเดียออกมาเคลื่อนไหวขอให้คืนความเป็นธรรมกับนายซีอุยโดยถอดศพออกจากพิพิธภัณฑ์ศิริราชไปทำพิธีทางศาสนาเพราะเชื่อนายซีอุยเป็นแพะรับบาปมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2546 ได้รวบรวมประเด็นที่น่ากังขาในคดีนายซีอุยที่ถูกตราหน้าเป็นฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตกินชิ้นส่วนมนุษย์ไว้อย่างน่าพิจารณา ว่า ผลสุดท้ายคดีนายซีอุยจบที่ศาลอุทธรณ์ด้วยโทษประหารชีวิตจากคดีด.ช.สมบุญเพียงคดีเดียว แต่ความเคียดแค้นและความรุนแรงของรูปคดีทำให้สังคมละเลยที่จะตรวจสอบรายละเอียดของคำให้การทั้งที่เป็นทางการและคำสัมภาษณ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ สิ่งเดียวที่สังคมขณะนั้นต้องการคือลากคอไอ้ฆาตกรโหดรายนี้ไปยิงเป้าให้สาสม ซึ่งปัญหาสำคัญของคดีนี้คือคำให้การที่เป็นคำสารภาพของนายซีอุยไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในสาระสำคัญของคดี กระบวนการสอบสวนที่กระทำต่อเนื่องกันถึง 96ชม.ที่วันแรกปฏิเสธ วันรุ่งขึ้นรับสารภาพเพิ่ม 2 คดี อีก 9 วันต่อมาสารภาพอีก4 คดี ในขณะที่พนักงานสอบสวนให้การว่าได้กระทำอย่างถูกต้องนุ่มนวลและนายซีอุยเต็มใจรับสารภาพเอง แต่เหตุใดจึงให้การผิดจากความเป็นจริงโดยเฉพาะส่วนที่เป็นหัวใจของคดีคือการจัดการกับอวัยวะของเหยื่อ ไม่มีใครสงสัยเลยว่าแท้ที่จริงแล้วนายซีอุยไม่เคยลิ้มรสชาติของตับและหัวใจอย่างที่ปรากฏในคำสารภาพหรือข่าวในหนังสือพิมพ์
ทั้งนี้คำสารภาพของนายซีอุยมีในบันทึกเท่าที่ปรากฏในปัจจุบันอยู่ 3 ฉบับคือ คำให้การวันที่ 30 ม.ค.,31 ม.ค. และ 5 ก.พ.2501 สำเนาทั้งหมดอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อัยการไทยและปรากฏเป็นคำสัมภาษณ์ของหนังสือพิมพ์รายวันในสมัยนั้นตีพิมพ์กันต่อเนื่องหลายฉบับ ที่น่าสังเกตคือการสอบปากคำและข่าวในหนังสือพิมพ์มุ่งประเด็นที่จะสรุปให้นายซีอุยเป็นผู้ต้องหาทุกคดีก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการทางศาล ทั้งที่คำให้การและคำสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ที่ปรากฏนั้นมีจุดสำคัญที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างเห็นได้ชัด โดยเมื่อนายซีอุยถูกจับที่ จ.ระยอง คดีได้ถูกเชื่อมโยงกับคดีเก่าที่จ.นครปฐมและกทม.เนื่องจากพฤติกรรมคนร้ายคล้ายกันและเหยื่อเป็นเด็ก
นายซีอุยถูกจับตัวมาสอบสวนตั้งแต่คืนวันที่ 27 ม.ค.2501 จึงมีการบันทึกคำให้การเป็นหลักฐานในวันที่30 ม.ค.ตามที่ล่ามภาษาจีนแปลให้ตำรวจเนื่องจากนายซีอุยพูดและฟังภาษาไทยไม่ค่อยได้ โดยเนื้อหามี3เรื่องใหญ่ๆ คือ การปฏิเสธคดีที่กทม.รวมทั้งในจ.นครปฐม และคำรับสารภาพคดีที่จ.ระยอง สำหรับคดีที่กทม.และคดีในจ.นครปฐม นายซีอุยปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่เคยได้ยินโดยระบุว่า “…ที่กทม.ข้าฯเคยได้ยินคนพูดกันว่ามีคนฆ่าเด็กแล้วเอาสมอง เมื่อประมาณ 1 ปีเศษๆ ขณะนั้น ข้าฯพักอยู่จ.พระนครโดยอยู่บ้านนายบักเทียม แซ่ไล้ แต่ข้าฯ ไม่ได้ไปดู” และซีอุยยังให้การปฏิเสธในบันทึกปากคำครั้งนี้ “การฆ่าเด็กรายนี้ข้าฯ ไม่ได้ทำร้าย ใครทำร้าย ข้าฯ ไม่ทราบ…”
เช่นเดียวกับคดีที่นครปฐม นายซีอุยก็อยู่ในจังหวัดเกิดเหตุเหมือนกันแต่ไม่ได้ไปมุงดูเหตุการณ์ โดยให้การว่า“ในการที่มีคนฆ่าเด็กแล้วผ่าท้องที่นครปฐมนั้นทราบข่าวเหมือนกัน โดยขณะนั้นอยู่ที่ จ.นครปฐม โดยข้าฯค้างที่นครปฐม 1 คืน…” และนายซีอุยก็ได้ปฏิเสธในคดีนี้เหมือนกับคดีที่กทม.ว่า "ได้ยินชาวบ้านพูดกันแต่ไม่ได้ไปดูเพราะรอรถไฟด่วนจะกลับทับสะแก แต่ใครจะเป็นคนฆ่า ข้าฯ ไม่ทราบ…” ส่วนคดีที่ จ.ระยอง นายซีอุยรับว่าเป็นการกระทำผิดครั้งแรกและไม่เคยฆ่าคนเพื่อจะเอาตับและหัวใจมากินเลย
ข้อสังเกตในเบื้องต้นนี้คือ หนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 31 ม.ค.ลงข่าวบทสัมภาษณ์นายซีอุยซึ่งจะต้องทำการสัมภาษณ์ก่อนวันที่ 31 เพราะในสมัยนั้นการสื่อสารและการเรียงพิมพ์ยังต้องใช้เวลามากกว่าปัจจุบัน สันนิษฐานได้ว่าคงจะสัมภาษณ์ในวันที่ 30วันเดียวกับบันทึกคำให้การฉบับแรก เพราะนายซีอุยยังปฏิเสธอยู่ คำสัมภาษณ์ของนายซีอุยในหนังสือพิมพ์จึงไม่ตรงกับบันทึกคำให้การคือ“คดีที่กทม.นั้นไปดูที่เกิดเหตุเช่นเดียวกับคดีที่นครปฐม แต่ไม่พบเด็ก ทั้งที่วันเดียวกันนี้ให้การกับพนักงานสอบสวนว่าไม่ได้ไปดูทั้งสองเหตุการณ์ เหตุใดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจึงคลาดเคลื่อนได้ทั้งที่พูดคุยในวันเดียวกัน
ไม่เพียงเท่านี้หลังจากสอบสวนอยู่ 4 วันนายซีอุยยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือทั้ง3 คดีโดยที่คำสารภาพก็ยังไม่ตรงกับข้อเท็จจริงอยู่ดี โดยมีข้อสังเกตว่านายซีอุยถูกจับตั้งแต่คืนวันที่27 ม.ค. ให้การปฏิเสธเรื่อยมาจนถึงวันที่ 30แล้วในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปถึงค่ำวันที่30 ม.ค.เวลา 19.15 น. นายซีอุยก็เปลี่ยนคำให้การยอมรับสารภาพในคดีกทม.และจ.นครปฐมโดยเล่ารายละเอียดถึงการลงมือให้พนักงานสอบสวนบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่า “ข้าฯ เคยทำการฆ่าคนและนำเอาหัวใจกับตับมารับประทานแล้ว 2 ราย ที่กรุงเทพฯ หนึ่งราย และที่นครปฐมหนึ่งราย” ซึ่งอาจเป็นเรื่องปกติที่คนร้ายจะให้การปฏิเสธก่อนเมื่อโดนสอบหนักเข้าก็จนและยอมรับสารภาพในที่สุด แต่ปัญหาของคดีทั้งสองนี้อยู่ที่คำสารภาพของนายซีอุยนั้นกลับไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จะเป็นเพราะนายซีอุยจงใจให้การเท็จหรือจำไม่ได้ หรือไม่รู้เรื่องกันแน่
สำหรับเหตุการณ์ที่กทม. บริเวณสถานีรถไฟสวนจิตรลดา ด.ญ.ลี่จู ผู้ตายเป็นลูกสาวเสี่ยใหญ่ย่านเซียงกงหลังโรงหนังโอเดียนแม่พาไปดูงิ้วแล้วหายตัวไป กระทั่งพบศพโดยคนงานรักษาสถานีรถไฟจิตรลดาช่วงเช้าตรู่วันที่29 พ.ย.ซึ่งนอกจากรอยเลือดและศพแล้วตำรวจไม่พบหลักฐานใดจะชี้ตัวคนร้ายได้นอกจากรอยปลายเท้าเปื้อนเลือดเดินจิกไปบนพื้นเท่านั้น แต่ในบันทึกคำสารภาพนายซีอุยให้การว่า “เวลากลางคืนประมาณ 20.00น. ข้าฯออกจากบ้านแต่ผู้เดียวไปดูงิ้วที่ศาลเจ้าใกล้ๆหัวลำโพง ขณะที่ดูงิ้วนั้นพบเด็กคนหนึ่งเป็นผู้หญิงร้องไห้อยู่ข้างโรงงิ้ว จึงเข้าไปปลอบเด็กว่าจะพาไปส่งที่บ้านเด็กหญิงก็ยินยอม ทั้งยังบ่นว่าง่วง นายซีอุยจึงอุ้มเด็กเดินผ่านสถานีหัวลำโพงแล้วออกถนนรองเมือง แล้วข้ามสะพานกษัตริย์ศึก แล้วก็เดินไปจนถึงสี่แยกมหานาคไปจนถึงสะพานขาวแล้วเดินไปตามทางรถไฟกรุงเทพฯ-อยุธยา เมื่อไปถึงที่ใดข้าฯ ไม่รู้จักตามทางรถไฟไปอีกประมาณ 200-300 ก้าวถึงสถานที่เกิดเหตุก็วางเด็กลงพร้อมกับร้องเรียกเด็กให้ตื่นโดยให้นั่งริมทาง และมีคลองอยู่ข้างๆ จึงชักมีดพับยาว 6-7 นิ้ว และผลักเด็กให้ล้มลง ใช้มือซ้ายปิดปากแล้วใช้มือขวาแทงลงไปที่คอใต้ลูกกระเดือก มีเสียงเด็กร้องอีกขณะนั้นเด็กใส่เสื้อสีขาวเป็นเสื้อยืด จึงใช้มีดผ่าเสื้อออกให้เห็นอกแล้วใช้มีดผ่าตั้งแต่สะดือจนถึงคอหอย โดยวิธีเดียวกับที่ระยองแล้วตัดเอาหัวใจกับตับไปอย่างละครึ่ง แล้วตัดของลับไปครึ่งหนึ่งแต่ของลับโยนทิ้งไป แล้วใส่กระเป๋ากางเกง แล้วเดินกลับที่พัก…”
โดยบันทึกคำให้การนายซีอุยของตำรวจระบุว่า "นายซีอุยทิ้งศพเด็กไว้ตรงที่เกิดเหตุแล้วเดินกลับถึงบ้านซึ่งพักอยู่กับนายอิ่วไฉ่ แซ่อึ้งใกล้โรงพักพลับพลาชัยเวลาประมาณ 23.00-24.00 น.รวมเวลาปฏิบัติการตั้งแต่อุ้มเด็กไป ผ่าศพ จนเดินกลับถึงบ้าน ไม่เกิน 3 ชม. เมื่อถึงบ้านเห็นว่าที่บ้านยังติดไฟก็เอาตับกับหัวใจใส่กาต้มน้ำแล้วทำการต้ม เมื่อสุกแล้วก็รีบกินทั้งหมดในคืนนั้น…” นี่คือส่วนหนึ่งของคำให้การซึ่งเท่ากับว่านายซีอุยต้องย้อนนึกกลับไปถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ 3 ปีก่อนซึ่งพนักงานสอบสวนได้เปิดเผยว่ากระบวนการสอบสวนเป็นไปอย่างนิ่มนวลไม่ได้ขู่บังคับแต่อย่างใด นายซีอุยเปิดอกสารภาพเองและบอกสถานที่ได้ถูกต้องทั้งที่ข้อเท็จจริงนายซีอุยพักอยู่กทม.ที่โรงแรมเทียนจินตรอกเทียนกัวเทียน ประมาณ 5-6วัน ก่อนจะเดินทางไปอ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และพูดเขียนอ่านภาษาไทยไม่ได้แต่เหตุใดจึงบอกเล่าสถานที่ต่างๆได้เอง จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นได้หรือไม่ที่ผู้ทำสำนวนสอบสวนสมัยนั้นจะเสนอประโยชน์หรือหลอกให้นายซีอุยยอมสารภาพเพื่อแลกกับอิสรภาพ แต่เรื่องที่ไม่น่าผิดก็คือหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ที่นายซีอุยตัดเอาตับกับหัวใจไปต้มกิน ซึ่งข้อเท็จจริงฆาตกรไม่ได้ตัดหัวใจและตับของเหยื่อไปด้วย ส่วนที่หายไปคืออวัยวะเพศของเหยื่อเท่านั้น
ส่วนคดีฆ่าชำแหละศพขโมยเครื่องใน ด.ญ.ซิ่วจู แซ่ตั้ง วัย5 ปี เมื่อคืนวันที่ 5ก.พ.2500ในถ้ำองค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ตามที่หนังสือพิมพ์เสนอนั้น ข้อเท็จจริงกลับปรากฏศพ ด.ญ.ซิ่วจู อยู่สภาพเปลือยถูกแทงที่ก้านคอเหวอะหวะ และมีแผลยาวจากต้นคอด้านหน้าตรงไปจรดท้องน้อยเกือบถึงอวัยวะเพศทั้งหัวใจและลำไส้ทะลักออกมากองอยู่ข้างนอก ใกล้ศพมีมีดและเสื้อผ้าเปื้อนเลือดกับไม้รองศีรษะ ซึ่งภายหลังเกิดเหตุไม่กี่ชม.ตำรวจก็บุกจับ นายไสวปิ่น สินชัย ปัจจุบัน อายุ 81 ปี เป็นเจ้าของค่ายมวยอัศวินดำบ้านอยู่หลังวัดพระปฐมเจดีย์นำกลับไปโรงพักขังเดี่ยว ห้ามเยี่ยม ห้ามประกันและห้ามทุกคนพูดคุย
นายไสว เผยว่า ตอนนั้นอยู่ในคุก5วันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกจับเรื่องอะไรภายหลังถึงรู้ตำรวจสงสัยว่าเป็นคนร้ายฆ่าด.ญ.เพราะเหตุใดไม่รู้ แต่ก็ให้การปฏิเสธและพยายามต่อสู้คดีจนพ่อแม่ต้องขายนากว่า50ไร่เป็นเป็นทุน กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ1ปีถึงได้ประกันตัวออกมา จากนั้นไม่นานนายซีอุยถูกจับที่จ.ระยองและสารภาพเป็นคนก่อเหตุที่จ.นครปฐมด้วยตนจึงพ้นผิดและด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เป็นลูกแม่ค้าขายเนื้อวัวในตลาดไม่มีพวกพ้องยามเดือดร้อนหาคนช่วยไม่ได้ต้องติดคุกฟรีๆทำให้พยายามผลักดันน้องชายเข้าโรงเรียนน้อยร้อยตำรวจสามพรานปัจจุบันชื่อพล.ต.ต.เสวก ปิ่นสินชัย เกษียรราชการตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจป่าไม้ในขณะนั้น
อีกด้านหนึ่ง นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)ในฐานะดูแลด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กล่าวถึงกรณีเว็บไซต์ change.org ล่ารายชื่อให้นำร่างของนายซีอุยออกจากพิพิธภัณฑ์ศิริราชเพื่อคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ล้างฉายามนุษย์กินคน ว่า คดีนายซีอุยมีคำพิพากษาศาลและมีการประหารชีวิตไปแล้ว ซึ่งต้องว่ากันไปตามพยานหลักฐาน แต่ในส่วนที่เรียกร้องให้คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จากกรณีนำศพไปสต๊าฟเพื่อแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิริราชและมีรูปภาพที่กำลังอ้าปากสร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนนั้น ทำให้มีคนกังวลว่าอาจจะเป็นการกระทำที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่เพราะในกรณีอื่นที่มีการตัดสินประหารชีวิตแล้วก็ส่งร่างให้ญาตินำไปประกอบพิธีทางศาสนา
“ดังนั้นจึงเห็นว่าควรมีการหารือกันในเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วกว่า 60 ปีซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมากนักแต่ในปัจจุบันมีการปรับปรุงกฎหมายให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมากขึ้นแล้ว รพ.ศิริราชและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ควรจะต้องหารือร่วมกันหาว่าจะทำอย่างไรเพราะเรื่องดังกล่าวไม่มีใครผิดใครถูกดังนั้นการหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกจึงน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า” นางอังคณา ระบุ.
ขอบคุณภาพจาก https://www.change.org/