คุก'ป้าทุบรถ'2เดือนปรับ1.2หมื่น เมตตาโทษจำลงอาญา
อาชญากรรม
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ถ.สรรพวุธ ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3917/2561 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.มณีรัตน์ แสงภัทรโชติ , น.ส.รัตนฉัตร แสงหยกตระการ เป็นจำเลยที่ 1-2 ฐานทำให้เสียทรัพย์ โดยจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ กรณีเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 61 น.ส.รัชนิกร เลิศวาสนา ได้ขับรถกระบะมาจอดรถขวางหน้าบ้านของ น.ส.มณีรัตน์ และ น.ส.รัตนฉัตร จนทั้งสองไม่สามารถขับรถออกจากบ้านได้ จึงบันดาลโทสะ ใช้ขวานและเสียม “ทุบรถ” ของ น.ส.รัชนิกร ได้รับความเสียหายและเสื่อมค่า คิดเป็นเงิน 50,000 บาท
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิด เพราะความเครียดและความโกรธสะสมมาเป็นเวลานาน วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองจำเป็นต้องใช้รถยนต์ออกจากบ้าน และได้กดสัญญาณแตรเสียงดังนาน 30 นาที แต่ น.ส.รัชนิกร ไม่มาเลื่อนรถ ทำให้จำเลยทั้งสองเกิดบันดาลโทสะใช้ขวานและเสียมทุบรถยนต์ของผู้เสียหายที่จอดกีดขาง เห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่อาจเข้าไปทุบทำลายรถยนต์ที่จอดขวางอยู่ได้ และแม้จะถือว่ารถของ น.ส.รัชนิกร เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่การกระทำนั้นยังไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยทั้งสองอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะมาเป็นเหตุลดโทษไม่ได้ พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดทำให้เสียทรัพย์ตามฟ้อง
พิพากษาว่าจำเลย ทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 และ 83 จำคุกคนละ 3 เดือนและปรับคนละ 18,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 เดือนและปรับคนละ 12,000 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดเพราะความเครียดและความโกรธที่สะสมมาเป็นเวลานาน ความผิดที่กระทำไม่ร้ายแรงนัก จำเลยทั้งสองได้บรรเทาผลร้ายจากการกระทำความผิดโดยนำเงินมาวางศาล 50,000 บาท เพื่อชำระแก่ผู้เสียหายตามที่เสียหายจริง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยรับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 และ 30
ด้าน นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ กล่าวว่า แนวทางการต่อสู้คดีแบ่งเป็น 2 แนวทาง แนวทางแรกคือ น.ส.รัชนีกร (คนขับรถ) มีส่วนในการกระทำความผิดด้วย คือการจอดรถกีดขวางทางเข้าบ้านจนทำให้เจ้าบ้านบันดาลโทสะ ส่วนแนวทางที่ 2 จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดจริง แต่การกระทำเกิดจากความเครียดสะสม เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ซึ่งแนวทางแรกศาลพิจารณาว่ารถคันดังกล่าวไม่ใช่ของ น.ส.รัชนิกร แต่เป็นของพี่สาว เพราะฉะนั้นผู้เสียหายที่แท้จริงคือพี่สาว ทำให้มีอำนาจในการฟ้อง จึงเป็นปัญหาทางข้อกฎหมาย ทีมทนายความจึงยังไม่เห็นพ้องด้วย ซึ่งหลังจากนี้จะทำการยื่นอุทธรณ์ต่อไป เมื่อศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง ถึงแม้จะมีหลักฐานว่าเกิดจากบันดาลโทสะ และความเครียดสะสมที่มีผู้มาจอดกีดขวางทางเข้าบ้านเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ฟังไม่ขึ้น แต่ทางจำเลยได้ยอมรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริงแต่มีเหตุ อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังได้มีการวางเงินเพื่อบรรเทาความเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ศาลจริงเห็นสมควรพิพากษารอลงอาญา เป็นเวลา 2 ปี.